ยกระดับการดำเนินงานด้าน HR ด้วยกรณีการใช้งานโซลูชัน AI Agent จาก GoPomelo
ปัจจุบัน AI ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจ องค์กรจำนวนมากต่างเริ่มมองหาวิธีการนำผู้ช่วย AI หรือ AI Assistant มาผสานรวมกับสภาพแวดล้อมการทำงานของตน HR AI Assistant ถือว่าเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรบุคคลได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การจัดการข้อมูลพนักงาน ไปจนถึงการตอบคำถามอัตโนมัติเกี่ยวกับนโยบายบริษัทและสิทธิประโยชน์ HR AI Assistant ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และช่วยให้กระบวนการภายในองค์กรเป็นระบบมากยิ่งขึ้น แต่ในขั้นตอนการพัฒนานั้นมีคำถามสำคัญคือ เราควรเลือกวิธีการสร้าง HR AI Assistant ด้วยวิธี High-Code หรือ Low-Code ดีล่ะ?
เรามาเปรียบเทียบความแตกต่างของ High-Code และ Low-Code เพื่อตัดสินใจเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ
AI Models, Data Format, และ Database Management
High-Code นั้นมอบความยืดหยุ่นและมีสามารถในการปรับแต่งได้มากกว่า เหมาะกับกรณีการใช้งานที่ซับซ้อนซึ่งต้องการโมเดล AI ที่ปรับแต่งเฉพาะ การจัดการโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง และการเชื่อมต่อกับระบบภายในขององค์กร นักพัฒนาของเรามักใช้แพลตฟอร์มอย่าง Gemini models ทำงานกับข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ และจัดการฐานข้อมูลด้วยเครื่องมืออย่าง Firebase หรือ MongoDB อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้จำเป็นต้องมีทรัพยากรในการพัฒนามากกว่า ใช้เวลานานกว่า และต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเทคนิคระดับสูง
ในทางกลับกัน Low-Code จะเน้นความรวดเร็วและความง่ายของการใช้งาน ทำให้ผู้ใช้งานในสายธุรกิจหรือผู้พัฒนาทั่วไป (Citizen Developers) สามารถสร้างและนำ AI Assistant ไปใช้งานโดยไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดมากมาย ด้วยเครื่องมืออย่าง Copilot Studio เราสามารถผสาน AI เข้ากับเครื่องมือที่คุ้นเคย เช่น SharePoint OneDrive และสร้างเวิร์กโฟลว์อัตโนมัติผ่าน Power Automate แม้ว่า Low-Code จะช่วยลดภาระและสามารถสร้างโซลูชันได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในด้านความสามารถในการปรับแต่งและการขยายระบบเมื่อเทียบกับ High-Code
กระบวนการพัฒนาระหว่าง High-Code และ Low-Code
กระบวนการสร้าง HR AI Assistant ด้วย High-Code และ Low-Code นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะความซับซ้อน ความรวดเร็ว และความเชี่ยวชาญที่จำเป็นต่อการพัฒนาระบบ สำหรับ High-Code จะเริ่มจากการวางภาพรวม จากนั้นจะเป็นขั้นตอนสำคัญ ได้แก่การตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม ต่อมาจะเป็นการออกแบบฐานข้อมูลอย่างละเอียด การทดสอบ การพัฒนาระบบหลังบ้าน (Backend) และการเชื่อมต่อกับ UI ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องใช้ทักษะเฉพาะทางเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังจำเป็นที่จะต้องทำการตั้งค่า Docker สำหรับการ Deploy รวมถึงการทำ Integration และการทดสอบขั้นสุดท้าย ทำให้แนวทางนี้สามารถปรับแต่งได้อย่างหลากหลาย แต่ก็ใช้ทรัพยากรและเวลาค่อนข้างมากเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง Low-Code ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เช่นเดียวกับ High-Code เราจะต้องเริ่มจากการวางภาพรวมโปรเจกต์ ตามด้วยการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม (Discovery) เพื่อตั้งเป้าหมายในการใช้งาน จากนั้นจึงเริ่มออกแบบฐานข้อมูลควบคู่กับการประมวลผล แล้วมุ่งเน้นไปที่การตั้งค่า AI Agent อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้สามารถอัปโหลดเอกสาร ตั้งค่าการเข้าถึง (Role-Based Access) เชื่อมต่อช่องทางการสื่อสาร และดำเนินการทดสอบได้ทันที กระบวนการที่เป็นระบบและลดความซับซ้อนนี้ช่วยลดความจำเป็นในการมีทักษะทางเทคนิค เหมาะสำหรับทีมที่ต้องการเปิดใช้งาน HR AI Assistant อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ.
ผลลัพธ์
การสร้าง AI Agent ด้วยแนวทาง High-Code และ Low-Code นั้นให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกัน
High-Code มอบความสามารถที่แข็งแกร่งและปรับแต่งได้มากกว่า เนื่องจากสามารถผสานการทำงานกับชุดข้อมูลหลากหลาย ทำให้สามารถให้คำตอบที่ครอบคลุมและแม่นยำ
ในขณะเดียวกัน Low-Code จะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการเข้าถึงที่ง่ายกว่า จึงเหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่มีความต้องการเข้าถึงข้อมูลในระดับจำกัด
ข้อดี
การใช้ High-Code และ Low-Code ในการสร้าง HR AI Assistant ต่างก็มีจุดเด่นเฉพาะตัวที่ตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละองค์กรได้แตกต่างกัน
การสร้าง HR AI Assistant ด้วยวิธีการ High-Code มอบความยืดหยุ่นและการควบคุมที่เหนือกว่า ทำให้ทีมสามารถสร้าง UX/UI แบบเฉพาะตัวได้มากยิ่งขึ้น เชื่อมต่อกับระบบ AI ขั้นสูง และมีสิทธิ์เป็นเจ้าของโซลูชันทั้งหมดอย่างเต็มรูปแบบ แนวทางนี้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อน สามารถรองรับการควบคุมสิทธิ์ การเข้าถึงที่ปลอดภัย และถือว่าอาจคุ้มค่ากว่าหากมองในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับระบบขนาดใหญ่หรือโครงการที่ต้องมีการเชื่อมโยงกับระบบภายในองค์กรอย่างลึกซึ้ง
ในทางตรงกันข้าม Low-Code จะเน้นความรวดเร็วและเรียบง่าย ช่วยให้สามารถพัฒนาระบบได้อย่างรวดเร็ว และนำไปใช้งานได้ทันทีโดยใช้โค้ดเพียงเล็กน้อย Low-Code มักถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปหรือทีมที่ไม่ใช่นักพัฒนา แพลตฟอร์มเหล่านี้มาพร้อมกับความสามารถด้าน AI ในตัว พร้อมสำหรับการเชื่อมต่อระบบอื่น และเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับทีมที่ต้องการเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรด้านการพัฒนามากนัก นอกจากนี้ Low-Code ยังสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ รองรับมาตรฐานด้านความปลอดภัย และเหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการนำนวัตกรรมมาใช้โดยไม่ลดทอนเรื่องความเร็วหรือความสะดวกในการใช้งาน
สรุปได้ว่า High-Code เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมากกว่า ต้องการการปรับแต่งเฉพาะตัว ส่วน Low-Code เหมาะสำหรับการพัฒนาที่ต้องการความรวดเร็ว คล่องตัว และเข้าถึงได้ การเลือกโซลูชันที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมายขององค์กร ทรัพยากรที่มี และระดับความสามารถในการควบคุมที่คุณต้องการนั่นเอง
GoPomelo ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเร่งการสร้างนวัตกรรม ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และขับเคลื่อนการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด บริการพัฒนาระบบ AI ของเราได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์และการวางแผน ไปจนถึงการนำไปใช้งานและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
พร้อมสร้าง AI Assistant หรือขยายการใช้งาน AI ในองค์กรของคุณแล้วหรือยัง?
ติดต่อ GoPomelo วันนี้เพื่อรับบริการ AI Discovery ฟรี และเริ่มต้นใช้งานได้ทันที!
นักพัฒนาของเรา:
Halley Ching, AI Engineer - LinkedInPinmanee Seesorn, AI/ML Engineer - LinkedIn